พระไตรปิฎกอักขะระไต-ปาฬิ

อักขะระ-ปาฬิ และ สัททะอักขะระไทย-ปาฬิ สำหรับพระไตรปิฎกสากล
(Pāḷi Alphabet and  Pāḷi Phonetic Alphabet for the World Tipiṭaka)

ภาพโดยพระบรมราชานุญาต
หนังสือ ที่ พว 0005.1/771

พิธีสมโภชพระไตรปิฎกสากล ฉบับสัชฌายะ ชุดอักขะระชาติพันธุ์ไต 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557 

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทานต้นฉบับสัชฌายะ ซึ่งพิมพ์เป็นชุดอักขะระชาติพันธุ์ไต (Tai Scripts) คู่ขนาน กับ สัททะอักขะระไทย-ปาฬิ (Thai Phonetic Alphabet-Pāḷi) ชุดต่างๆ รวม 9 ชุดอักขะระ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง 

สัททะอักขะระ (Phonetic Alphabet) ที่ใช้เขียนเสียงปาฬิในพระไตรปิฎกสากล อ้างอิงจากต้นฉบับ จ.ป.ร. อักษรสยาม พ.ศ. 2436 และสร้างสรรค์สำเร็จขึ้นเป็นสัททะอักขะระ (Phonetic Alphabet) และได้รับการจดเป็นสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา The World Tipiṭaka Patent No. 46390 พ.ศ. 2557 (2014) ซึ่งนับเป็นการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยสัททะอักขะระเป็นครั้งแรกของโลก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9

 

สัททะอักขะระไต-ปาฬิ
(Tai Phonetic Alphabet-Pali)

โจทย์สำคัญในการอ่านออกเสียงปาฬิในพระไตรปิฎกที่คนส่วนใหญ่ต้องศึกษาและแก้ไข คือ ปรากฏการณ์ในทางวิชาการด้านภาษาศาสตร์ ที่เรียกว่า “การแทรกแซงทางเสียง” (Linguistic Interference) กล่าวคือการเอาเสียงท้องถิ่นของภาษาหนึ่งไปปนแทรกกับเสียงปาฬิดั้งเดิมในพระไตรปิฎก เช่น คนไทยมักออกเสียง พ-ปาฬิ ว่า [พะ] ซึ่งเป็นเสียงพ่นลม (Aspirated) ใน คำว่า พล / bala ที่แทนเสียง [บะ] ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่พ่นลม (Unaspirated) ตามกฎไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ เป็นต้น

เรื่องนี้ในทางวิชาการภาษาศาสตร์เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเป็นพัฒนาการของภาษา ที่ปัจจุบันอาจออกเสียงต่างจากเสียงดั้งเดิม แต่พระวินัยปิฎกในพุทธศาสนาเถรวาทถือว่าการออกเสียงไม่พ่นลมเป็นเสียงพ่นลมเป็นการผิดพระวินัยในสังฆกัมม์ เช่น กัมมวาจา เพราะในทางนิรุตติศาสตร์ ที่ว่าด้วยเรื่องเสียงและความหมายนั้น การออกเสียงปาฬิในพระไตรปิฎกที่ผิดพลาดผิดเพี้ยนไป ย่อมทำให้ภิกขุผู้ออกเสียงต้องอาบัติตามความหมายที่นิยามไว้ในพระไตรปิฎก (ฉบับสากล พระวินัยปิฎก ปริวารวัคค์ ข้อ 455)

ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฎก ฉบับ จ.ป.ร. อักขะระสยาม พ.ศ. 2436 จึงได้จัดพิมพ์ตารางการถอดเสียง (Syām-Roman Transcription Table) เป็นคู่มือในการออกเสียงปาฬิเพื่อมิให้เอาเสียงในภาษาไทยมาปนแทรกกับเสียงปาฬิในพระไตรปิฎก เช่น เทียบกับ b ออกเสียง [บะ] / [ba] และ เทียบกับ d ออกเสียงว่า [ดะ] / [da] เป็นต้น คู่มือนี้จึงแสดงว่าได้มีความพยายามแก้ปัญหาการแทรกแซงทางเสียงในการศึกษาพระไตรปิฎกในไทยมานานนับศตวรรษแล้ว ซึ่งการนำอักขะระโรมัน เช่น buddha และ vandāmi มาเทียบในระบบการพิมพ์ทำให้เกิดประสิทธิ์ภาพในทางการศึกษาเสียงปาฬิในระดับวิชาการ แต่ปัจจุบันประชาชนคนไทยทั่วไปก็ยังไม่เข้าใจ โดยยังออกเสียงในภาษาไทยปนแทรกกับเสียงปาฬิ ว่า [พะ..] แทน [บะ..] ในคำว่า bud.. และ [ทา..] แทน [ดา..] ในคำว่า vandā.. เป็นต้น 

การใช้อักขะระสยามเขียนเสียงปาฬิในพระไตรปิฎก ฉบับ จ.ป.ร. จึงเป็นการริเริ่มการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรกโดยใช้ สัทอักษร หรือ ที่โครงการพระไตรปิฎกสากลเขียนตามหลักการถอดเสียงใหม่ ว่า สัททะอักขะระ-ปาฬิ

ในบทความนี้ จะได้กล่าวถึงปัญหา 3 ประการของการเขียนเสียงปาฬิ ได้แก่

 1. การเขียนรูปเสียงปาฬิ (Pāḷi) ด้วยรูปอักขะระสยาม และอักขะระไทย

 2. การแบ่งพยางค์คำปาฬิในพระไตรปิฎก (Pāḷi Syllabic Segmentation)

 3. การเขียนเสียงปาฬิด้วยสัททสัญลักษณ์ต่างๆ (Phonetic Symbols) 

ในข้อ 3 เป็นการนำเสนอศักยภาพของความหลากหลายในรูปเขียนของอักขะระไทยในฐานะสัททะอักขะระเขียนเสียงปาฬิ และยังสามารถเขียนเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญได้ด้วย ซึ่งเป็นเสียงปาฬิดั้งเดิมของภาษาในตระกูลอินโด-อารยัน จากการศึกษาและเปรียบเทียบอักขรวิธีต่างๆ ข้างต้นทำให้โครงการพระไตรปิฎกสากลสามารถนำเสนอรูปเขียนใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการเขียนเสียงปาฬิ โดยใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลจัดพิมพ์เป็นพระไตรปิฎกสากล ชุด อักขะระชาติพันธ์ุไต (World Tipiṭaka in Tai Scripts) ตลอดจนบูรณาการเขียนเป็นโน้ตเสียงปาฬิ (Pāḷi Notation) และบันทึกการอ่านออกเสียงในระบบดิจิทัล เรียกว่า เสียงสัชฌายะดิจิทัล (Digital Sajjhāya Recitation Sound)

1. การเขียนรูปเขียนเสียงปาฬิ (Pāḷi) ด้วยรูปอักขะระสยาม และ อักขะระไทย

ในทาง​วิชาการ​ภาษาศาสตร์ “การถอดอักษร” หรือ ที่โครงการพระไตรปิฎกสากลเรียกว่า “การ​ถอด​อักขะระ” (Transliteration) เป็นการ​แปลง​อักขะระ​หนึ่ง​ต่อ​หนึ่ง เพื่อรักษา “​รูป​ศัพท์” เดิม​ไว้ แต่การ​ถอด​อักขะระของชาติต่างๆ เป็น​ปาฬิ​ภาสา อาจ​ไม่​ตรง​กับ “รูป​เสียง”​ หรือ “การถอดเสียง” (Transcription) ใน​ปาฬิ​ภาสา​เสมอ​ไป นอกจากนี้ยังมีปัญหา​การแทรกแซงทางเสียง​ คือ ​การปนแทรกของเสียง​ใน​ภาษา​หนึ่ง​ที่​มี​ต่อ​อีก​ภาษา​หนึ่ง ​ที่ใน​ทาง​ภาษาศาสตร์เรียก​ว่า Linguistic Interference การออกเสียงและวิธีการเปล่งเสียงปาฬิภาสามีการกำหนดการออกเสียงพยัญชนะและเสียงสระไว้ในไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ อย่างชัดเจน
 
ตัวอย่างการแทรกแซงทางเสียงในหมู่คนไทย
 
เสียงไม่พ่นลม แต่ออกเป็นเสียงพ่นลม [ʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [g] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [kʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [j] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [tcʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [d] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [tʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [b] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [pʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [ḍ] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [tʰ]

 เสียงพ่นลม แต่ออกเป็นเสียงผิดฐาน [ṭh] เป็น [th],  [dh] เป็น [tʰ],  [ḍh] เป็น [tʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [ṭh] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [tʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [dh] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [tʰ]
 -ปาฬิ สัททะอักขะระ คือ [ḍh] ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย คือ [tʰ]

สังเกต : สัททะอักขะระเสียงพ่นลม แสดงด้วย h-ยก [ʰ] สำหรับเสียงปาฬิ  ท  ฑ  ฐ  ธ  ฒ  ใช้สัททะอักขะระรูปเขียนที่ต่างกัน ส่วนสัททะอักขะระของเสียงไทย ใช้รูปเสียงเดียวกันทั้งหมด คือ [tʰ] ส่วนเสียงปาฬิ  ฐ  ธ  ฒ  ซึ่งมีฐานเสียงที่ต่างกัน ใช้สัททะอักขะระที่ต่างกัน คือ [ṭh] [dh] [ḍh] แต่ในภาษาไทยออกเสียงเหมือนกันทั้ง 3 ตัว จึงใช้สัททะอักขะระเสียงไทยที่เหมือนกันหมด คือ [th] ดูเพิ่มเติมในตารางการถอดเสียงปาฬิของโครงการพระไตรปิฎกสากล

 

 2. การแบ่งพยางค์คำปาฬิในพระไตรปิฎก (Pāḷi Syllabic Segmentation)

โครงการพระไตรปิฎกสากลได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกปาฬิ (Pāḷi) เป็น อักษรโรมัน ซึ่งโครงการพระไตรปิฎกสากล เรียกว่า  อักขะระโรมัน (Roman Script) และได้เผยแผ่ไปในสถาบันการศึกษานานาชาติ เป็นเวลา 6 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2548-2553 ในการนี้ได้พบว่า แม้อักขะระโรมันเป็นอักขรวิธีสากลที่รู้จักกันในนานาประเทศ แต่ผู้ที่สนใจศึกษาพระไตรปิฎกอักขะระโรมันก็ยังไม่มีความชำนาญในการอ่าน ปาฬิภาสา-อักขะระโรมัน อย่างแท้จริง เมื่อนำปัญหาในการอ่าน ฉบับอักขะระโรมัน มาศึกษาอย่างจริงจังก็พบว่า มีปัญหาในการแบ่งพยางค์อักขะระโรมัน โดยเฉพาะในคำศัพท์ที่มีพยางค์เป็นจำนวนมาก
 

ปัญหาพื้นฐานเบื้องต้นของอักขรวิธีโรมัน คือ พยัญชนะโรมันมีเสียงไม่ครบเมื่อเทียบกับเสียงปาฬิในพระไตรปิฎก เช่น มีพยัญชนะเสียง  ก์   k  แต่ไม่มีพยัญชนะเสียง  ข์  ดังนั้นจึงต้องใช้พยัญชนะสองตัวสร้างเสียงพยัญชนะ -ปาฬิ ได้แก่ kh โดย h เป็นสัญลักษณ์เสียงพ่นลม (Aspirated Sound) ดังนั้นเมื่อเขียนคำว่า “อักขะระ” เป็น อักขะระโรมัน ว่า akkhara จึงเป็นการยากในการแบ่งพยางค์ในการอ่านสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นกับศัพท์ปาฬิ ปัจจุบันแม้มีระบบการพิมพ์ยกตัวอักขะระ h ให้สูงขึ้น เช่น akkhara ได้แก่ kh แม้เป็นรูปเขียนสองอักขะระแต่สามารถเห็นเป็นหนึ่งรูปเสียงชัดเจนขึ้น ปัญหาการแบ่งพยางค์นี้จึงลดลง 

ปัญหาของคนไทยที่อ่านอักขะระโรมันไม่แคล่วคล่องอาจเป็นเพราะชาติไทยมิได้มีประวัติศาสตร์เป็นชาติอาณานิคมของตะวันตก ดังนั้นปัจจุบันจึงมิได้ใช้ภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยอักขะระโรมันเป็นอักขะระประจำชาติ เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย แต่ที่สำคัญคือ ปาฬิเป็นภาษาที่มีอักขรวิธีเป็นเอกลักษณ์ กล่าวคือ มีการเขียนและอ่านที่มีหลักการที่ชัดเจนเป็นของตน ได้แก่ มีเสียงสะกด (final-consonant sound) เสียงไม่สะกด คือ เสียง สระ-อะ (non-final consonant or a-vowel sound) และเสียงกล้ำ (cluster-consonant sound) แยกออกจากกันชัดเจน โดยมีกฎไวยากรณ์พระไตรปิฎกที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดคือ กัจจายะนะ-ปาฬิ เป็นหลักฐานยืนยัน 

ผู้ที่คุ้นเคยกับอักขรวิธีของชาติตน เช่น ชาวไทยที่มีการออกเสียงสะกดและเสียงกล้ำที่ไม่แยกออกจากกันชัดเจน อาจออกเสียงปาฬิได้ไม่แม่นตรงตามกฎไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ เช่น อาจออกเสียงสะกดและลากเสียงพยางค์ที่สะกดกลายเป็นพยัญชนะต้นของพยางค์เสียงกล้ำที่ตามมา เช่น คำว่า “กัลยา” ในภาษาไทยมักออกเสียงว่า [กัล-ละ-ยา] หรือ [กัน-ละ-ยา] ซึ่งต่างจากเสียงในปาฬิภาสา ที่อักขะระสยามปาฬิ เขียนว่า กัล๊ยา อ่านว่า [กะ-ลยา] โดยกฎไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ ข้อ 602 ระบุชัดเจนว่า สระเสียงสั้นที่นำหน้าพยางค์เสียงกล้ำ ให้ออกเสียงเป็น “เสียงคะรุ” คือ ออกเสียงให้นานขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทั้งสองพยางค์ของคำนี้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่พยางค์หน้าที่เป็นเสียงสะกดจะกลายเป็นพยัญชนะต้นของเสียงกล้ำในพยางค์หลังที่ตามมาได้ ดังที่เกิดขึ้นในภาษาไทย

ปัญหานี้อาจเรียกให้ง่ายว่า  “ปัญหาของการแบ่งพยางค์” ซึ่งปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ กล่าวคือ สร้างระบบการเขียนเป็น 3 ประเภท เสียงสะกด เสียงไม่สะกด และเสียงกล้ำ ให้แยกออกจากกันให้ชัดเจน 

ตารางการถอดเสียงพระไตรปิฎก จ.ป.ร. เทียบกับ ตารางการถอดเสียงในโครงการพระไตรปิฎกสากล ซึ่งพัฒนาจากต้นฉบับพระไตรปิฎก จ.ป.ร. อักขะระสยาม พ.ศ. 2436 แสดงการอ้างอิงลำดับการออกเสียงปาฬิตามหลักไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ ข้อ 6 ซึ่งกล่าวถึง เสียงพยัญชนะทั้ง 33 เสียง และข้อ 7 ซึ่งกล่าวถึงตำแหน่งฐานที่เกิดเสียง ซึ่งโครงการพระไตรปิฎกสากลได้จัดทำตารางการถอดเสียงตามฐานกรณ์ที่อ้างอิงตามกฎไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ เพื่ออ้างอิงเป็นสากล 

กัจจายะนะ-ปาฬิ ข้อ 6.
sesā byanjanā
วัณณะที่เหลือจากสระ 8 ตัว ชื่อว่าพยัญชนะ
พยัญชนะมี 33 ตัว คือ 
 ก ข ค ฆ ง 
 จ ฉ ช ฌ ญ 
 ฏ ฐ ฑ​ ฒ ณ 
 ต ถ ท ธ น 
 ป ผ พ ภ ม 
 ย ร ล ว ส ห ฬ อํ 

กัจจายะนะ-ปาฬิ ข้อ 7.
vaggā pañcapañcaso mantā
พยัญชนะ พวกละ 5 ตัว มี เป็นที่สุด ชื่อว่า วัคค์
พยัญชนะวัคค์ มี 25 ตัว คือ 
 ก ข ค ฆ ง เรียกว่า -วัคค์
 จ ฉ ช ฌ ญ เรียกว่า -วัคค์ 
 ฏ ฐ ฑ​ ฒ ณ เรียกว่า -วัคค์ 
 ต ถ ท ธ น เรียกว่า -วัคค์ 
 ป ผ พ ภ ม เรียกว่า -วัคค์  
 

สัททะอักขะระไทย-ปาฬิ อ้างอิง อักขะระสยาม-ปาฬิ

เป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันอักขะระสยาม-ปาฬิ ในพระไตรปิฎก จ.ป.ร. นี้ ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เปลี่ยนมาเป็นระบบที่เรียกว่าพินทุบอด ซึ่งใช้เครื่องหมายจุดแทนทั้งเสียงสะกดและเสียงกล้ำ อย่างไรก็ตามได้เคยมีอักขรวิธีที่ใช้เครื่องหมายหางแซงแซวแทนเสียงกล้ำและจุดพินทุบอดแทนเสียงสะกด ได้แก่ พระไตรปิฎก ฉบับ มจร. พ.ศ. 2500 แต่ปัจจุบันไม่มีการใช้แพร่หลาย มีแต่อักขรวิธีที่ใช้พินทุบอดแทนทั้งเสียงสะกดและเสียงกล้ำ ทำให้เกิดความสับสนเรื่องการแบ่งพยางค์ระหว่างเสียงสะกดและเสียงกล้ำมากขึ้น ปัจจุบันคณะสงฆ์จึงไม่คุ้นเคยและไม่สามารถอ่านอักขรวิธีสยามปาฬิได้ การออกเสียงปาฬิในการสวดมนต์ของไทยจึงไม่มีมาตรฐานกลางและไม่แม่นตรงตามกฎไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ ที่รู้จักกันเป็นสากลทั่วโลก

หางแซงแซว (สีแดง) เสียงกล้ำ
จุดพินทุ (สีฟ้า) เสียงกล้ำ

ชุดสัททะอักขะระที่ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิจินตน์ ภาณุพงศ์ ผู้ก่อตั้งภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำเสนอไว้ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและจากการศึกษาเรื่องการแบ่งพยางค์ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้โครงการพระไตรปิฎกสากลสร้างเป็นตรรกะในทางคอมพิวเตอร์และสามารถจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิบัตร เลขที่ 46390 (2557) และด้วยสิทธิบัตรนี้ โครงการพระไตรปิฎกสากลจึงสามารถจัดพิมพ์ชุดสัททะอักขะระใหม่ในระบบดิจิทัล โดยแสดงเสียงละหุ (เสียงเร็ว) ด้วยสีเบาโปร่ง และเสียงคะรุ (เสียงนาน) ด้วยสีเข้มทึบ โดยมีจุดแบ่งพยางค์ตามสิทธิบัตรที่แยกเสียงสะกด และเสียงกล้ำออกจากกันอย่างกันชัดเจน สัททะอักขะระไทย-ปาฬิ แม้เป็นระบบการเขียนเสียงปาฬิที่ง่ายขึ้น แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเสียงวรรณยุกต์สูงต่ำที่ติดมากับอักขะระในภาษาไทย ในการนี้ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิจินตน์ ภาณุพงศ์ ได้นำเสนออักขะระอีกชุดหนึ่งซึ่งสามารถเขียนเสียงปาฬิเป็นเสียงสามัญ โดยใช้พยัญชนะไทยที่ไม่มีวรรณยุกต์สูงต่ำ ดูรายละเอียดหน้าต่อไป

อักขะระ-ปาฬิ อ้างอิงตาม กฎไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ  

จากสัททะอักขะระไทย-ปาฬิ ซึ่งต้องใช้อักขะระหลายตัวเขียนเสียงปาฬิ โครงการพระไตรปิฎกสากล​จึงพัฒนาให้ง่ายขึ้นเป็นสัททสัญลักษณ์เรียกว่า อักขะระ-ปาฬิ อีกชุดหนึ่ง โดยแสดงรูป​แบบ​การ​สร้างสรรค์​อักขะระ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของเสียงปาฬิ เช่น เสียงพ่นลม เสียงไม่พ่นลม เสียงก้อง เสียงไม่ก้อง เพื่อเป็นทางเลือกในการเขียนเสียงปาฬิในการศึกษาการออกเสียงปาฬิตามกฎไวยากรณ์

นอกจากเสียงพ่นลมและเสียงไม่พ่นลมดังที่กล่าวมาแล้ว อักขะระ-ปาฬิ ยังยึดถือ​รูป​ลักษณ์​เดิม​ของ​อักขะระ​สยาม-ปาฬิ​ เป็น​หลัก เช่น อักขะระที่มีฐานที่เกิด​เสียงจาก​ลิ้นแตะ​หลัง​ปุ่ม​เหงือก เช่น (เดิมอักขะระสยาม-ปาฬิ เขียนว่า  เทียบกับ อักขะระโรมัน ว่า ṭh) เป็นต้น เนื่องจาก​มี​ความ​เป็น​เอกลักษณ์​แทน​​หน่วย​เสียง​ปาฬิิ ที่เกิดจากปุ่มเหงือก ซึ่ง​อักขะระ​โรมัน​ที่​ใช้แพร่หลายในระดับสากลนานาชาติ​แต่ละ​ตัว​ไม่​สามารถ​แทน​เสียง​ปาฬิ​ทุก​เสียง​ได้​ครบ เช่น ​เสียง​ปาฬิบางเสียง ต้อง​ใช้​สัญลักษณ์โรมันถึง​สาม​ตัว (t  .  h) ​ใน​การ​แทน​เสียง​ได้ อักขะระ-​ปาฬิ​ที่​ออกแบบ​ใหม่​จึง​ตรงตามหลักไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิและสอดคล้องกับอักขรวิธีในทางภาษาศาสตร์ และมี​ประสิทธิภาพ​ใน​ทาง​ใช้​งานสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะ​ผู้​อ่าน​ที่​คุ้น​เคย​กับ​อักขะระ​สยาม-​ปาฬิ สามารถ​สังเกตรูปพยัญชนะ​เดิม​และ​ออก​เสียง​ปาฬิได้

อักขะระ-ปาฬิจำนวนทั้งสิ้น 52 อักขะระชุดนี้ จะเป็นอักขะระชุดใหม่ของโลก ที่แสดงเสียงปาฬิได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎไวยากรณ์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการสร้างอักขะระที่เป็นสัญลักษณ์แสดงเสียงปาฬิได้อย่างครบถ้วนและเทียบเท่า จึงจัดได้ว่าอักขะระ-ปาฬินี้สามารถนำเสนอในมาตรฐานสากล ISO/IEC 10646 และ Unicode ได้อีกด้วย และปัจจุบันได้ทำการบันทึกเสียงปาฬิทั้ง 52 เสียง ด้วยระบบ MRI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สากล เพื่อเป็นข้อมูลใหม่สำหรับอ้างอิงในการฝึกออกเสียงให้แม่นตรงกับกฎไวยากรณ์ปาฬิ ดังกล่าว

 3. การเขียนเสียงปาฬิด้วยสัททสัญลักษณ์ต่างๆ (Phonetic Symbols) 

การเขียนเสียงปาฬิด้วยอักขะระต่างๆ ทำให้อาจติดเสียงวรรณยุกต์ตามภาษาท้องถิ่นนั้นมาด้วย เช่น  ในภาษาไทยเป็นพยัญชนะเสียงสูง เมื่อประกอบ สระ-โอ จะเกิดการแทรกแซงทางเสียงเป็นวรรณยุกต์เสียงจัตวา เช่น โส แต่ปาฬิเป็นเสียงในตระกูลภาษาอินโด-อารยัน ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่มีเสียงวรรณยุกต์สูงต่ำ เช่น อักขะระโรมัน ว่า so (โซ) ในปาฬิบทว่า itipi so (อิติปิ โซ) หรือ สัททะอักษรสากล IPA ว่า [it̪ipi s̪o] ชาวตะวันตกจะไม่ออกเสียงวรรณยุกต์เลย ในกรณีนี้วัฒนธรรมการออกเสียงในทางตะวันตกที่เป็นสากลจึงมีส่วนป้องกันการแทรกแซงทางเสียงได้

จากปัญหาต่างๆ ดังกล่าว จึงเกิดความจำเป็นในการเขียนเสียงอ่านปาฬิ ซึ่งศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิจินตน์ ภาณุพงศ์ ได้ริเริ่มเสนอเป็นชุด “สัททะอักขะระ-ปาฬิ” (Pāḷi Phonetic Alphabet) ในที่ประชุมสำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552 และได้ตีพิมพ์ในโครงการพระไตรปิฎกสากล

ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 โครงการพระไตรปิฎกสากลได้พัฒนาชุดสัททะอักขะระ-ปาฬิ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอักขะระชาติพันธุ์ไต เรียกว่า สัททะอักขะระไต-ปาฬิ (Tai Phonetic Alphabet) อีกชุดหนึ่ง

สัททะอักขะระไต-ปาฬิ (Tai Phonetic Alphabet)

 


สัททะอักขะระไต-ปาฬิ อ้างอิง อักขะระสยาม-ปาฬิ

ตัวอย่างสัททะอักขะระที่ได้พัฒนาขึ้นใหม่และจัดพิมพ์ใน พ.ศ. 2562  มีลักษณะสำคัญดังนี้

1. พยางค์ที่ 1 [บ] ฐานที่เกิดเสียง คือ ลิ้นแตะริมฝีปาก สัททสัญลักษณ์แสดงเสียงพ่นลม
 [ห] ที่พิมพ์ตัวเล็ก เปรียบได้กับ [h] ที่แสดงเสียงพ่นลม (Aspirated Sound) 
 สระ-โอ เสียงคะรุ พิมพ์สีเข้มทึบ (ดูโครงการพระไตรปิฎกสากล 2559)


 

2. พยางค์ที่ 2 [จ-พินทุโปร่ง] ฐานที่เกิดเสียง คือ ลิ้นแตะเพดานแข็ง สัททสัญลักษณ์แสดงเสียงไม่พ่นลม (Unaspirated Sound)
 มีพินทุโปร่งกำกับแสดงเสียงก้อง   
 สระ-อะ เสียงละหุ พิมพ์สีเบาโปร่ง (ดูโครงการพระไตรปิฎกสากล 2559)

3. พยางค์ที่ 3 [น] ฐานที่เกิดเสียงคือ ลิ้นแตะฟันบน ประกอบกับสระเสียงสั้น
 สระเสียงสั้น เมื่ออยู่หน้าพยางค์เสียงกล้ำ ไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ ข้อ 602 ให้ออกเสียงคะรุ  ออกเสียงนานขึ้น
 สระ-อะ เสียงคะรุ  พิมพ์สีเข้มทึบ (ดูโครงการพระไตรปิฎกสากล 2559)

4. พยางค์ที่ 4 [มฮ] เครื่องหมายโค้งกำกับใต้พยัญชนะเสียงกล้ำ
สระ-อิ เสียงคะรุ พิมพ์สีเข้มทึบ (ดูโครงการพระไตรปิฎกสากล 2559)
ส่วน ห ซึ่งเป็นรูปพยัญชนะปาฬิที่พ้องกับพยัญชนะอักษรสูงในภาษาไทย ที่คนไทยออกเสียงเป็น
วรรณยุกต์เสียงจัตวา แทนด้วย ฮ ซึ่งในภาษาไทยเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญ ทำให้ลดการแทรกแซงทางเสียง
วรรณยุกต์ของภาษาไทยในการเขียนปาฬิภาสา ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่มีวรรณยุกต์สูงต่ำ

 

สรุป

สัททะอักขะระไทย-ปาฬิ และ อักขะระ-ปาฬิ เป็นนวัตกรรมการเรียงพิมพ์พระไตรปิฎกปาฬิด้วยสัททสัญลักษณ์เป็นครั้งแรก แต่ในการใช้รูปอักขะระต่างๆ ดังกล่าว ในทางวิชาการอักษรศาสตร์ยังมีขีดจำกัดหลายประการ เช่น สัททะอักขะระยังมิอาจแสดงจังหวะที่ซับซ้อนของเสียงปาฬิ ด้วยเหตุนี้โครงการฯ จึงได้เรียนเชิญรองศาสตราจารย์ ดร.ศศี พงศ์สรายุทธ ภาควิชาดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ถอดเสียงสัททะอักขะระเป็นโน้ตเสียงปาฬิ และปัจจุบันโครงการพระไตรปิฎกสากลสามารถสังเคราะห์เสียงสัชฌายะจากโน้ตเสียงปาฬิดังกล่าว โดยทำการบันทึกในระบบดิจิทัล เป็นเสียงสัชฌายะดิจิทัล (Digital Sajjhāya Recitation Sound) ซึ่งฝึกซ้อมและควบคุมการบันทึกเสียงในระบบดิจิทัลโดยศาสตราจารย์ ดวงใจ ทิวทอง ภาควิชาดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจกล่าวได้ว่านวัตกรรมโน้ตเสียงปาฬิและเสียงสัชฌายะดิจิทัล เป็นการอนุรักษ์เสียงปาฬิที่ได้สืบทอดมาในพระไตรปิฎกตั้งแต่การสังคายนา พ.ศ. 1 โดยอ้างอิงตามหลักไวยากรณ์กัจจายะนะ-ปาฬิ ซึ่งทำให้สามารถเผยแผ่ด้วยเทคโนโลยีทางเสียงที่ทันสมัยต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ

จากตัวอย่างของการถอดเสียงปาฬิในพระไตรปิฎกเป็น สัททสัญลักษณ์ปาฬิ (Pāḷi Symbol) หรือที่เรียกว่า การถอดเสียงเป็นชุดสัททะอักขะระ-ปาฬิ ซึ่งเน้นเสียงวรรณยุกต์สามัญ โดย เลือกพยัญชนะเสียงวรรณยุกต์สามัญในภาษาไทยเป็นสัททสัญลักษณ์ กับ ชุดอักขะระ-ปาฬิ  ซึ่งเน้นการออกเสียงพ่นลม ไม่พ่นลม ตลอดจนเสียงก้อง และไม่ก้อง

ขอขอบคุณ พันเอก (พิเศษ) สุรธัช บุนนาค นายกกองทุนสนทนาธัมม์นำสุขฯ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ฯ และคณะ ที่ดำเนินการถอดเสียงและออกแบบสร้างสรรค์อักขะระไต-ปาฬิ ชุดนี้ เพื่อจัดพิมพ์เป็นพระไตรปิฎกสากล ฉบับสัชฌายะ ชุดอักขะระชาติพันธุ์ไต พ.ศ. 2563

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิจินตน์ ภาณุพงศ์ 

ประธานกองทุนสนทนาธัมม์นำสุข ท่านผู้หญิง ม.ล.มณีรัตน์ บุนนาค 
ในพระสังฆราชูปถัมภ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 

ท่านผู้หญิงวราพร ปราโมช ณ อยุธยา

ประธานมูลนิธิพระไตรปิฎกสากล

พ.ศ. 2563

 

 

 

ภาพโดยพระบรมราชานุญาต 
หนังสือ ที่ พว 0005.1/771

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ผู้ทรงเป็นประธานการพิมพ์เพื่ออนุรักษ์ต้นฉบับ พระไตรปิฎก จปร. อักษรสยาม พ.ศ. 2436 เสด็จเป็นประธานในพิธีพระราชทาน ต้นฉบับสัชฌายะ (Sajjhāya Phonetic Edition) ในพระไตรปิฎกสากล ซึ่งจัดพิมพ์เป็นชุด อักขะระชาติพันธุ์ไตชุดต่างๆ (Tai Scripts) คู่ขนาน กับ สัททะอักขะระไทย-ปาฬิ (Thai Phonetic Alphabet-Pāḷi) รวม 9 ชุดอักขะระ โดยได้พระราชทานต้นฉบับแก่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ และ ศาลปกครองสูงสุด พ.ศ. 2557 ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง 

พิธีสมโภชพระไตรปิฎกสากลจัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวาระที่ ชุดสัททะอักขะระในการพิมพ์พระไตรปิฎกสากลดังกล่าว สามารถสร้างสรรค์สำเร็จขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกในรัชกาลที่ 9 โดยได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาฉบับแรก The World Tipiṭaka Patent No. 46390 พ.ศ. 2557 (2014)

ต้นฉบับพระไตรปิฎกสากล ชุดสัททะอักขะระ-ปาฬิ  (Pāḷi Phonetic Alphabet) ได้พระราชทานแก่สถาบันศาล ในฐานะที่พระไตรปิฎกเปรียบเป็นพระธรรมศาสตร์เก่าแก่ ซึ่งเป็นรากฐานทางกฎหมายของมนุษยชาติ ซึ่งศาลเป็นผู้ใช้อำนาจทางตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตรย์ไทย

หมายเหตุ : ในภาพคือต้นฉบับ ภิกขุปาติโมกขะปาฬิ อักขะระไตขืน-ปาฬิ (เชียงตุง) จากชุดอักขะระชาติพันธุ์ไต-ปาฬิ 9 ชุดอักขะระ ปัจจุบัน พ.ศ. 2563 ได้มีการจัดเพิ่มเป็นพระไตรปิฎกสากล 18 ชุดอักขะระชาติพันธุ์ไต ชุดละ 40 เล่ม เป็นทั้งชุดหนังสือและระบบดิจิทัลพร้อมเสียงสัชฌายะดิจิทัล รวม 3,052 ชั่วโมง ความจุ 1.6 เทระไบต์

 

Akkhara Pali Newroman 1V by Dhamma Society on Scribd